๓๘. เอโอนํ[1] ฯ
สเร ปเร เอ, โอนํ ย, วาเทโส โหติ วาฯ
กฺยสฺส
พฺยปถโย อสฺสุ.
กฺยสฺสุ อิธ โคจรา[2] - เก+อสฺส ปุคฺคลสฺสาติ อตฺโถ, พฺยปถโยติ วจนปถา,
ยถา นามํ ตถา ฌสฺส-เจ+อสฺสาติ เฉโท, ตฺยาหํ
เอวํ วเทยฺยํ[3], ตฺยสฺส ปหีนา โหนฺติ, ปุตฺโต ตฺยาหํ มหาราช[4], ปพฺพตฺยาหํ คนฺธมาทเน, อธิคโต โข มฺยายํ ธมฺโม[5], ยฺยสฺส วิปฺปฏิสารชา, ยฺยสฺส เต โหนฺติ อนตฺถกามา,
ยฺยสฺสุ มญฺญามิ สมเณ-เอตฺถ จ อวิสิฏฺเฐปิ วจนสทฺเท เย+อสฺสาติ
ปทจฺเฉทพุทฺธิสุขตฺถํ ‘ยฺยสฺสา’ติ โปตฺถกาโรปนํ ยุชฺชติเยว, ยถา ตํ? ‘ยทาสฺส สีลํ ปญฺญญฺจ’ [6]อิจฺจาทีสุ วิย, กฺวตฺโถสิ ชีวิเตน เม, ยาวตกฺวสฺส กาโย,
ตาวตกฺวสฺส พฺยาโม[7], อถ ขฺวสฺส, อตฺถิ ขฺเวตํ พฺราหฺมณ, ยตฺวาธิกรณํ[8], ยฺวาหํ, สฺวาหํ
อิจฺจาทิฯ
วาตฺเวว? โส อหํ วิจริสฺสามิ[9], โส อหํ ภนฺเตฯ
-------
๓๘. เอโอนํ
ย และ วฺ
เป็นอาเทสของ เอ และ โอ เพราะสระหลัง
สเร ปเร เอ, โอนํ ย, วาเทโส โหติ วาฯ
ในเพราะสระหลัง
ยและวฺ เป็นอาเทสของเอ และ โอ ได้บ้าง
กฺยสฺส
พฺยปถโย อสฺสุ,
กฺยสฺสุ อิธ โคจรา[10] = เก อสฺส พฺยปถโย อสฺสุ, เก อสฺสุ อิธ โคจรา.
- เก+อสฺส ปุคฺคลสฺสาติ อตฺโถ, พฺยปถโยติ วจนปถา,
กฺยสฺส คือ เก
อสฺส ปุคฺคลสฺส แปลว่า คำพูดเหล่าใด ของบุคคลนั้น. คำว่า พฺยปถโย ความหมายเดียวกับ วจนปถา
แปลว่า คำพูด.
ยถา นามํ ตถา
ฌสฺส = ยถา นามํ ตถา เจ อสฺส[11]
ตฺยาหํ เอวํ
วเทยฺยํ =
เต อหํ เอวํ วเทยฺยํ.
ตฺยสฺส ปหีนา
โหนฺติ=
เต อสฺส ปหีนา โหนฺติ
ปุตฺโต ตฺยาหํ
มหาราช = ปุตฺโต เต อหํ มหาราช
ปพฺพตฺยาหํ
คนฺธมาทเน =
ปพฺพเต อหํ คนฺธมาทเน
อธิคโต โข
มฺยายํ ธมฺโม = อธิคโต โข เม อยํ ธมฺโม
ยฺยสฺส
วิปฺปฏิสารชา = เย อสฺส วิปฺปฏิสารชา
ยฺยสฺส เต
โหนฺติ อนตฺถกามา
= เย อสฺส เต โหนฺติ อนตฺถกามา
ยฺยสฺสุ
มญฺญามิ สมเณ
= เย อสฺสุ มญฺญามิ สมเณ
เอตฺถ จ อวิสิฏฺเฐปิ
วจนสทฺเท เย+อสฺสาติ ปทจฺเฉทพุทฺธิสุขตฺถํ ‘ยฺยสฺสา’ติ โปตฺถกาโรปนํ ยุชฺชติเยว, ยถา ตํ? ‘ยทาสฺส สีลํ ปญฺญญฺจ’ อิจฺจาทีสุ วิย,
สำหรับในกรณีนี้
แม้ในศัพท์ที่มีพจน์ไม่ต่างกัน การที่ยกมาแสดงไว้ในตำราว่า ยฺยสฺส เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจในการตัดบทเป็น
เย อสฺส ก็ควรอยู่, ตัวอย่างเช่น ยทาสฺส สีลํ ปญฺญญฺจ.[12]
กฺวตฺโถสิ
ชีวิเตน เม = โก อตฺโถสิ ชีวิเตน เม
ยาวตกฺวสฺส
กาโย =ยาวตโก อสฺส กาโย
ตาวตกฺวสฺส
พฺยาโม
= ตาวตโก อสฺส พฺยาโม
อถ ขฺวสฺส, =อถ โข อสฺส
อตฺถิ ขฺเวตํ
พฺราหฺมณ,
=อตฺถิ โข เอตํ พฺราหฺมณ
ยตฺวาธิกรณํ = ยโต อธิกรณํ
ยฺวาหํ = โย อหํ
สฺวาหํ= โส อหํ
วาตฺเวว?
ข้าพเจ้ากล่าว
วา ศัพท์ เพื่อปฏิเสธการเป็น เอ และ โอ ใน ๒ ตัวอย่างนี้
โส อหํ
วิจริสฺสามิ =
โส อหํ วิจริสฺสามิ
โส อหํ ภนฺเต = โส อหํ ภนฺเต
------
[1] [ก. ๑๗, ๑๘; รู. ๑๙, ๒๐; นี. ๔๓, ๔๔]
[2] [สุ. นิ. ๙๖๗]
[3] [ม. นิ. ๑.๓๐]
[4] [ชา. ๑.๑.๗]
[5] [มหาว. ๗
[6] [ชา. ๒.๒๒.๑๔๗๔]
[7] [ที. นิ. ๒.๓๕]
[8] [ที. นิ. ๑.๒๑๓
[9] สุ. นิ. ๑๙๔
[10] อุ.ว่า กฺยสฺส พฺยปถโย อสฺสุ และ กฺยสฺสุ อิธ โคจรา ทั้งสองนี้
อยู่ในคาถาเดียวกัน ปรากฏในคัมภีร์พระบาฬีสุตตนิบาต. สุตตนิบาตอรรถกถาแก้เป็น กฺยาสฺส
พฺยปฺปถโย อสฺสูติ กีทิสานิ ตสฺส วจนานิ อสฺสุฯ
คำพูดเช่นไรจะมีแก่ภิกษุเหล่านี้ อยู่. แต่พระบาฬีนั้น บาทคาถาที่ ๒ เป็น
กฺยาสฺสสฺสุ อิธ โคจรา; กานิ สีลพฺพตานาสฺสุ, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโนฯ แปลว่า โคจรเช่นไรเล่า
พึงมีแก่ภิกษุนั้นในพระศาสนานี้. ศีลและพรตเหล่าใดจะพึงมีแก่ภิกษุผู้ส่งจิตไป
(ยังพระนิพพาน) แล้ว. ตามพระบาฬีนี้ตัดบทเป็น เก อสฺส (ปุคฺคลสฺส) อสฺส
[11] กรณีนี้ เจ อสฺส. แปลง เอ เป็น ยฺ ด้วยสูตรนี้ เป็น จฺยฺ อสฺส เพราะ อ
แปลง จฺยฺ เป็น ฌฺ. นี้ว่าตามที่แกะรอยตามรูปศัพท์ได้ แต่หาสูตรรับรองไม่ได้
จึงได้แต่ตั้งข้อสังเกตไว้.
[12] ข้อความนี้ไม่เข้าใจว่า ท่านหมายถึงอะไร? หรือจะหมายความว่า
ในศัพท์อื่นที่ลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจใช้วิธีนี้แสดงการตัดบทได้ เช่น ยทาสฺส
ตัดเป็น ยทา อสฺส. ในอรรถกถามหานิบาตชาดก ๒/๑๔๗๖ แสดงการตัดบทเป็น
ยทาสฺส สีลนฺติ ยทา อสฺส เสวกสฺส ราชา สีลญฺจ ปญฺญญฺจ โสเจยฺยญฺจ
อธิคจฺฉติ. อุทาหรณ์นี้ในพระบาฬีเป็น ยฺยาสฺส ยฺยาสฺสุ. แม้ในปทรูปสิทธิ ก็เป็น
ยฺยาสฺส = เย + อสฺส (ธรรมเหล่าใดอันบุคคลนั้นละแล้ว). หนังสือปท.มัญชรี ให้ทัสสนะว่า
“สัททนีติปกรณ์ (สุตตมาลา สูตร ๔๓) กล่าวว่า
รูปว่า ยฺยสฺส (อาจเขียนเป็น ยฺยาสฺส
ตามรูปที่ปรากฏในฉบับปัจจุบัน) ไม่มีในพระบาลี เพราะ ยฺย
สังโยคไม่ปรากฏในรูปว่า ยฺยสฺส แต่พบเป็นรูปว่า ยสฺส =เย +
อสฺส, ยสฺสุ = เย +
อสฺสุ, ยาภิวาทนฺติ = เย
+ อภิวาทนฺติ อย่างไรก็ดี ในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (องฺ.๒๐.๙๒.๒๓๓) มีรูปว่า ยฺยสฺส ที่ตัดบทมาจาก เย + อสฺส (ฉบับฉัฏฐสังคายนามีรูปเป็น ยฺยาสฺส)]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น